กลยุทธ์ SEM (Search Engine Marketing) คืออะไร ช่วยทำให้ยอดขายของคุณปังๆๆ

ในยุคดิจิทัล การทำการตลาดออนไลน์เป็นสิ่งที่ธุรกิจยุคใหม่มองข้ามไม่ได้ หนึ่งในกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูง คือ SEM หรือ Search Engine Marketing
SEM เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญที่ช่วยปลดล็อกประตูสู่โลกออนไลน์ ดึงดูดลูกค้าเป้าหมายให้เข้าถึงธุรกิจของคุณ เพิ่มยอดขาย และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
บทความนี้ จะพาทุกท่านไปรู้จักกับกลยุทธ์ SEM ว่าคืออะไร ทำงานอย่างไร และมีประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณอย่างไร เตรียมพบกับเคล็ดลับและตัวอย่างกลยุทธ์ที่จะช่วยให้คุณปั้นยอดขายให้ปังปังปัง! ไปดูกันเลย
สารบัญ
SEM คืออะไร?

SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing คือ กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ใช้ Search Engine อย่าง Google, Bing, Yahoo ในการดึงดูดลูกค้าเป้าหมายมายังเว็บไซต์หรือธุรกิจของคุณ โดย SEM แบ่งออกเป็น 2 กลยุทธ์หลัก คือ
- SEO (Search Engine Optimization) : เป็นการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้นๆ บนหน้าผลการค้นหา (SERP) โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา กลยุทธ์ SEO ที่ดีจะช่วยเพิ่ม Organic Traffic หรือ การเข้าชมเว็บไซต์แบบธรรมชาติ
- PPC (Pay Per Click) : เป็นการโฆษณาบน Search Engine โดยจ่ายเงินเมื่อมีคนคลิกโฆษณา กลยุทธ์ PPC ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏบนหน้าแรกของ SERP ได้ทันที เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว
กลยุทธ์ SEM ที่จะช่วยให้ธุรกิจทำยอดขายให้ปังๆ

เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น:
- ทำ Keyword Research: ค้นหาคำหลักที่กลุ่มเป้าหมายของคุณใช้ค้นหา
- เลือก Keyword ที่เหมาะสม: เลือก Keyword ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ มีคนค้นหาบ่อย และมีการแข่งขันไม่สูง
- ใช้ Keyword ใน Content: ใส่ Keyword ที่เลือกไว้ในเนื้อหาเว็บไซต์ บทความ บล็อก และ Landing Page
- ใช้ Keyword ในโฆษณา: ใส่ Keyword ในหัวข้อและคำอธิบายโฆษณา PPC ของคุณ
- ใช้ Google Shopping Ads: โฆษณาสินค้าของคุณบน Google Shopping
- ใช้ Remarketing: แสดงโฆษณาของคุณต่อผู้ใช้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ
เพิ่มยอดขาย:
- เขียนโฆษณาที่ดึงดูดความสนใจ: เขียนหัวข้อโฆษณาที่ดึงดูดความสนใจ และคำอธิบายโฆษณาที่ชัดเจนและตรงประเด็น
- สร้าง Landing Page ที่ดี: Landing Page ควรมีความเกี่ยวข้องกับโฆษณา มีเนื้อหาที่ชัดเจนและตรงประเด็น และมีปุ่ม Call to Action ที่ชัดเจน
- ใช้ A/B Testing: ทดสอบโฆษณาและ Landing Page ของคุณเพื่อดูว่าแบบไหนมีประสิทธิภาพมากกว่า
- ใช้ Conversion Tracking: ติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญ SEM ของคุณเพื่อดูว่ามี Conversion เกิดขึ้นกี่ครั้ง
สร้างการรับรู้แบรนด์:
- ใช้ชื่อแบรนด์ของคุณใน Keyword: ใส่ชื่อแบรนด์ของคุณใน Keyword ที่คุณใช้
- สร้าง Content ที่ดี: เขียน Content ที่มีความน่าสนใจ มีประโยชน์ และเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
- ใช้ Social Media: แชร์ Content ของคุณบน Social Media
- ใช้ Influencer Marketing: collaborate with influencers in your industry
เพิ่ม ROI (Return on Investment) :
- ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน: กำหนดเป้าหมาย ROI ของคุณก่อนเริ่มแคมเปญ SEM
- ติดตามผลลัพธ์: ติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญ SEM ของคุณอย่างสม่ำเสมอ
- ปรับแต่งแคมเปญ: ปรับแต่งแคมเปญ SEM ของคุณตามผลลัพธ์ที่ได้
- ใช้เครื่องมือวัดผล: ใช้เครื่องมือวัดผล ROI เช่น Google Analytics
ตัวอย่างกลยุทธ์ SEM
1.กลยุทธ์การค้นหา Keyword
Keyword เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างธุรกิจของคุณกับลูกค้าเป้าหมาย เป็นคำหรือวลีที่ผู้คนใช้ค้นหาข้อมูลบน Search Engine ต่างๆ การค้นหา Keyword ที่ดีและตรงกับความต้องการของลูกค้า จึงเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ SEM (Search Engine Marketing)
2.เข้าใจความต้องการของลูกค้า:
วาง persona ลูกค้า: ระบุกลุ่มเป้าหมาย เพศ อายุ ความสนใจ พฤติกรรม
วิเคราะห์ Customer Journey: ศึกษาเส้นทางการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
ระบุคำถามที่ลูกค้ามักถาม: ค้นหาคำถามที่ลูกค้าค้นหาบน Search Engine
- ค้นหา Keyword:
ใช้ Keyword Planner Tool ของ Google: เครื่องมือฟรีที่ช่วยค้นหา Keyword แนะนำ ปริมาณการค้นหา และระดับการแข่งขัน
ใช้เครื่องมืออื่นๆ: เช่น Ahrefs, SEMrush, Moz
วิเคราะห์ Keyword ของคู่แข่ง: ศึกษาว่าคู่แข่งของคุณใช้ Keyword อะไร
- ประเมิน Keyword:
ปริมาณการค้นหา (Search Volume): เลือก Keyword ที่มีคนค้นหาจำนวนมาก
ระดับการแข่งขัน (Competition): เลือก Keyword ที่มีระดับการแข่งขันไม่สูงจนเกินไป
ความเกี่ยวข้อง (Relevance): เลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
เจตนาในการค้นหา (Intent): เลือก Keyword ที่ตรงกับเจตนาของลูกค้า
- จัดกลุ่ม Keyword:
แบ่ง Keyword ตามประเภท: เช่น Keyword หลัก Keyword รอง Long-Tail Keyword
แบ่ง Keyword ตามกลุ่มเป้าหมาย: เลือก Keyword ที่เหมาะกับแต่ละกลุ่ม
- วิเคราะห์ผลลัพธ์:
ติดตามผลการค้นหา: วิเคราะห์ว่า Keyword ใดมีประสิทธิภาพ
ปรับแต่งกลยุทธ์: ปรับเปลี่ยน Keyword
การสร้าง Content:
Content เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ SEM (Search Engine Marketing) เนื้อหาที่ดึงดูดใจ เข้าใจง่าย ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยดึงดูดลูกค้าเข้าสู่เว็บไซต์ของคุณ เพิ่มโอกาสในการขาย และสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ
การทำ On-Page SEO:
On-Page SEO หมายถึง การปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ บนหน้าเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับต้นๆ บน Search Engine (SE) เช่น Google, Bing, Yahoo
การทำ On-Page SEO ที่ดี จะช่วยให้ SE เข้าใจเนื้อหาบนหน้าเว็บของคุณได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณแสดงผลในหน้าแรกของ SERP (Search Engine Results Page)
การทำ Off-Page SEO:
Off-Page SEO หรือ Off-site SEO เป็นกลยุทธ์การปรับแต่งเว็บไซต์จากภายนอก เพื่อช่วยให้เนื้อหาภายในเว็บไซต์ของคุณถูกค้นหามากขึ้น ส่งผลต่อ ความน่าเชื่อถือ (Authority) ของเว็บไซต์ในสายตาของ Search Engine (SE) อย่าง Google
การทำ PPC:
PPC ย่อมาจาก Pay Per Click เป็นกลยุทธ์การโฆษณาออนไลน์บน Search Engine (SE) เช่น Google, Bing, Yahoo
การทำ PPC ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณแสดงผลบนหน้าแรกของ SERP ทันทีที่ผู้ใช้ค้นหา Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ซึ่งมีข้อดีและข้อเสีย ดังนี้
ข้อดีของการทำ ppc
- ดึงดูดลูกค้าเป้าหมายได้ทันที
- เพิ่มยอดขาย
- สร้าง Brand Awareness
- วัดผลลัพธ์ได้
ข้อเสียของการทำ PPC
- ต้องเสียค่าใช้จ่าย
- ต้องมีทักษะในการตั้งค่าแคมเปญ
- แข่งขันสูง
การทำ SEM นั้น ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงแค่คุณมีกลยุทธ์ที่ดี เข้าใจหลักการ SEO และ PPC และลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ ธุรกิจของคุณก็มีโอกาสประสบความสำเร็จและเพิ่มยอดขายได้อย่างแน่นอน